Lao Wedding (2011) สะบายดี 3 วันวิวาห์
สะบายดี วันวิวาห์ ออกฉายเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554 กำกับโดย ศักดิ์ชาย ดีนาน เป็นบทสรุปของหนังไตรภาคชุดสะบายดี ซึ่งภาคแรกคือ สะบายดี หลวงพะบาง ฉายในปี 2551 ส่วนภาคสอง คือ สะบายดี 2 ไม่มีคำตอบจากปากเซ ฉายในปี 2553 และในปี 2554 สะบายดี วันวิวาห์ นำแสดงโดย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และคำลี่ พิลาวง ดูหนังออนไลน์
ให้ว่าตามจริง หนังชุดสะบายดีนี่ไม่ถึงกับเป็นหนังที่ต้องดูหรือห้ามพลาด แต่สำหรับผมเองนั้นชอบเพราะดูภาคแรกแล้วรู้สึกดีครับ รู้สึกรักในความเรียบง่ายของหนัง ชอบบรรยากาศสวยแบบธรรมชาติของประเทศลาว อีกทั้งพระเอกนางเอกก็ดูมีเสน่ห์ในแบบของตนเองดี ครั้นมาภาค 2 แม้จะชอบน้อยลง เพราะตัวหนังยังขาดๆ ไปในบางอย่าง (เช่น สาระหรือประเด็นดีๆ ที่จะเพิ่มคุณค่าให้หนังได้) แต่อย่างน้อยหนังก็ยังพอสนุกได้กับมุขตลกและดาราที่แสดงบทของตัวเองได้อย่างน่าพอใจ
ส่วนภาค 3 นี้ก็เป็นเรื่องราวใหม่นะครับ ตัวเอกคือ เชน (บอย – ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์) หนุ่มไทยที่เคยมาทำงานในลาวเมื่อ 6 เดือนก่อน และเขาก็ได้พบกับ คำ (คำลี่ พิลาวง) สาวลาวแสนสวยและน่ารัก พวกเขามีความรู้สึกที่ดีต่อกันจนเชนเดินทางกลับมาหาเธออีกครั้งตามสัญญา แต่แล้วก็มีเรื่องไม่คาดฝันทำให้เชนและคำต้องเข้าพิธีวิวาห์กันแบบกะทันหัน และนั่นล่ะครับคือจุดเริ่มของ “วันวิวาห์”
จริงๆ หนังมีโอกาสดีมากๆ ในการเล่นกับประเด็นว่าด้วยชีวิตคู่นะครับ อย่างการที่เชนกับคำต้องแต่งงานโดยที่จริงๆ ทั้งคู่ยังไม่พร้อมถึงขั้นจะมาใช้ชีวิตร่วมกัน (ก็พวกเขาเพิ่งรู้จักได้ไม่ถึงปีเท่านั้นนี่ครับ) ดังนั้นความสับสนทางอารมณ์ที่เกิดขึ้น
มันจะเป็นการเปิดโอกาสให้พวกเขา (และบทภาพยนตร์) ได้ทำการสำรวจชีวิต สำรวจความหมายของความรักได้ ซึ่งระหว่างที่พวกเขาสำรวจกันในหนัง คนดูอย่างเราๆ ก็พลอยได้ย้อนมาดูและสำรวจตัวเองด้วยเหมือนกัน แต่ก็น่าเสียดายครับที่หนังไม่ได้เป็นแบบนั้น เพราะหนังกลายเป็นลงอีหรอบสูตรสำเร็จของหนังรักทั่วๆ ไปแทน
โดยส่วนตัวแล้วผมก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมากกับภาคนี้นะครับ คือไม่บวกและไม่ลบ ตัวหนังดูไม่มีอะไรหวือหวา ดูติดดินธรรมดา ไม่มีการปรุงอารมณ์ ไม่มีทิวทัศน์ใหม่ๆ มานำเสนอ ซึ่งไม่แปลกครับหากหลายคนดูแล้วจะนิ่งหรือรู้สึกไม่ชอบเพราะหนังดูไม่ค่อยตอบสนองในเรื่องความบันเทิงสักเท่าไร แต่สำหรับผมแล้ว อย่างที่บอกครับว่าชอบความง่ายของหนัง ตอนดูเลยพอจะรับได้กับความนิ่งเนิ่บของเรื่องราว อันนี้เลยต้องบอกไว้ก่อนครับว่าหนังมันไม่ได้หลากรสหรือชวนติดตามแบบหนังบันเทิงทั่วๆ ไป
แต่แม้จะรับได้กับความเนิ่บนิ่ง ทว่าก็ยังเสียดายไม่หายครับ เพราะหนังไม่ได้จับประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับความรัก การแต่งงานกะทันหัน หรือชีวิตคู่มาบอกเล่าสักเท่าไร แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือหนังดำเนินไปตามสูตรสำเร็จ ที่แท้พระเอกนางเอกจะยังไม่แน่ใจว่าพวกเขาจะแต่งงานกันดีไหม แต่รอจนกระทั่งซีนสุดท้ายเดี๋ยวพวกเขาก็จะแต่งงานกันเองแหละ ไม่มีอะไรเกินคาดเดาจริงๆ ครับ
จริงๆ จะเดินตามสูตรก็ไม่ว่ากันครับ แค่เขียนบทให้คนดูอินและคล้อยตามไปกับเรื่องราว ให้คนดูเข้าใจว่า “อ๋อ เชนกับคำเขาเข้าใจกันเพราะอะไร สิ่งใดที่เชื่อมใจพวกเขาไว้ได้” ไม่ว่าจะเป็นเพราะสิ่งของหรือสถานการณ์ แต่ที่หนังเป็นนั้นคือพวกเขายอมแต่งงานกันเมื่อหนังใกล้จบ เรียกว่า “แต่งตามเวลา” มากกว่าจะเป็นการ “แต่งตามจิตใจของทั้งสองฝ่าย ที่เข้าใจว่าพวกเขานั้นรักกันและห่างกันไม่ได้” ดูหนังฟรี
ว่าไปแล้ว ผมว่าหนังไม่จำเป็นต้องลงสูตรก็ได้ครับ ลองว่าสไตล์มันติดดินนอกกรอบมาขนาดนี้ หากจะทำเป็นหนังโรแมนติกผสมชีวิตที่เน้นการค้นหาสาระแห่งรักมากกว่าจะเน้นเรื่องสูตรหรือเน้นความขำ แบบนั้นหนังอาจมีความต่างที่น่าสนใจแบบที่ภาคแรกเคยทำไว้น่ะครับ ที่ถึงแม้จะลงสูตร แต่ก็ยังมีประเด็นดีๆ มีอารมณ์ของตัวละครที่ดูสอดคล้องกับสูตรนั้นๆ ในขณะที่ภาคนี้ด้านปม ด้านอารมณ์ของตัวละครยังไม่น่าสนใจพอ
สรุปว่าความเนิ่บของหนังไม่ใช่ปัญหาครับ แต่ปัญหาคือเนื้อในไม่มีอะไรมากนัก ซึ่งคล้ายกับภาคที่แล้วครับ ที่พล็อตหนังน่ะมันเปิดโอกาสให้ใส่สาระลงไป แต่สุดท้ายก็ไม่มี แต่หากเรามามองนอกรอบ ปมในหนังก็น่าคิดดีนะครับ มันน่าคิดตั้งแต่ว่าอะไรทำให้คนสองคนรู้สึกดีต่อกัน… เพราะหน้าตา? เพราะคารม เพราะจังหวะที่ทั้งสองรู้จักกันในสภาวะอารมณ์ที่พอเหมาะพอดี เลยเกิดความประทับใจต่อกัน? หรือเพราะความผูกพันต้องชะตากัน
อาจไม่มีคำตอบที่ถูกที่สุดครับ เพราะคู่รักแต่ละคู่ย่อมมีจุดเริ่มแห่งการสปาร์กทางใจที่ต่างกันไป ซึ่งมันก็เช่นเดียวกับรูปแบบความสัมพันธ์หลังจากคบหากันไปแล้วนั่นแหละครับ ที่ต่างคู่ก็มีรายละเอียดต่างกัน ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว โดยที่แต่ละคู่นั้นจะไปกันรอดไหม ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขานั่นแหละครับที่จะช่วยกันประคับประคอง ช่วยกันเรียนรู้กันและกันมากน้อยแค่ไหน หรือเอาแต่ใส่ใจเรื่องของตัวเองจนไม่สนใจอีกฝ่าย แบบนั้นความรักที่มีก็อาจหมดอายุลงได้ทุกเมื่อ
อันที่จริงตัวเชนนั้นมีความน่าสนใจนะครับ เอาแค่ความสับสนว่า “ตกลงเรารักคำจริงๆ หรือเราแค่แต่งเพราะความจำเป็นกันแน่?” นี่ก็เล่นเป็นประเด็นได้พอสมควรแล้ว หรือตัวคำก็เหมือนกันครับ ในฐานะที่เธอคือผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะฝากชีวิตนับจากนี้ไป
กับผู้ชายอีกคนที่เพิ่งรู้จักได้แค่ไม่กี่เดือน ซ้ำยังเป็นชาวต่างชาติด้วย แล้วเธอควรรู้สึกยังไง ควรคิดเช่นไร และควรทำอะไรสักอย่างเพื่อทบทวนให้ถี่ถ้วนกว่านี้ไหม หรือแค่ปล่อยให้มันเลยตามเลยตามความต้องการของผู้ใหญ่
“คือที่มามัน ถือว่าธรรมดา เป็นประสบการณ์ของเรา อย่าง สบายดีหลวงพระบาง ไปเที่ยวลาวครั้งแรกแล้วประทับใจเมืองลาว ก็จะเหมือน ตัวเรย์ในไม่มีคำตอบจากป่ากเซนั่นแหล่ะ นั่นคือก่อนจะทำสบายดี พอไม่มีคำตอบจากปากเซ นี่ก็ยิ่งง่าย จากประสบการณ์ที่ไปลาว ประสบการณ์ในวงการหนังที่อยู่ที่นั่น เคยไปร่วมงาน เคยไปเจอเหตุการณ์ในงานแต่งงาน แต่เป็นเรื่องไกลตัวกับประสบการณ์การแต่งงาน เพราะไม่เคยแต่งงาน แต่เราก็คิด
ว่าพอเข้าใจ พอรู้จัก โดยความที่ลาวกับภาคอีสานบางจังหวัดที่เป็นจังหวัดเล็กๆ เราเข้าใจสังคมของคนเมืองเล็กๆ คนแต่งงานที่ญาติพี่น้องมารวมกันในงานแต่งงาน อยู่ในพิธี อารมณ์ร่วมของคนในครอบครัว เพื่อนฝูงซึ่งเราว่ามันก็คล้ายๆกันกับบ้านเรา” เว็บดูหนัง
“เป็นเรื่องของคนจากเมืองใหญ่คนหนึ่งไปรู้จักสาวที่ลาว ไปกินเลี้ยงแล้วเมา แล้วผู้หญิง ประคองมาส่งที่โรงแรม ซึ่งในบ้านเราเอง ในสังคมเล็กๆจะรู้จักกันหมด ก็จะพูดถึงกันเข้าใจผิดกัน มองผู้หญิงในทางเสียหายได้ ถ้าผู้หญิงคนนี้เข้าโรงแรมกับผู้ชายโดยที่ยังไม่แต่งงาน อาจมีเรื่องไม่ดี ไม่งามได้ เรื่องความเสียหายหน้าตาของครอบครัวผู้หญิง แล้วผู้ชายก็อยากรับผิดชอบไม่อยากให้ผู้หญิงเสียศักดิ์ศรีตรงนี้ เป็นเรื่องของคน 2 คนที่ยังไม่
พร้อมที่จะแต่งงานกัน แต่มีเหตุมีภาวะที่จะแต่งงาน หนังจะเล่าเรื่องความเข้าใจของ 2 คนนี้ก่อนที่งานแต่งงานจะจบลง ซึ่งมันอาจจะพูดถึงสังคมเก่าก็ได้นะ เป็นโลกเก่าสักหน่อย แต่เราว่าที่เมืองไทยเองก็ยังมีอยู่ เพียงแต่ว่าจุดนี้มันถูกมองข้ามไป ถ้าเรามีลูกสักคน มีหลายสักคน
แล้วเขาอยู่กับผู้ชายก่อนยังไม่แต่งงาน ผู้ใหญ่หรือพ่อแม่ทุกคนไม่ได้แฮปปี้หรอก ยิ่งฝ่ายหญิงด้วย แต่ทำอะไรไม่ได้ พอบอกแล้วนั่งเฉยๆแล้วใช้ชีวิตของมันต่อ บอกว่ามันโตแล้ว ทำงานแล้ว ซึ่งคนในเมืองเอง ในไทยเองก็อยากให้ทำถูกต้องตามครรลองครองธรรม”
“ลำบากในเรื่องการหาทุน เพราะมันไม่ใช่ทุน Studio ไม่ใช่บริษัทใหญ่ ทุนสตูดิโอก็เป็นในบางเรื่อง งบทยอยมา ถ่ายบ้าง หยุดบ้าง งบพร้อมก็ถ่ายต่อ แต่ว่าของเราลำบากกว่าเพราะเราไปลาวรวดเดียว ถ้าถ่ายในกรุงเทพฯถ่ายได้ 4-5 วัน ก็หยุดก็ได้ เตรียมงานต่อ แต่พอไปลาวเราไปเดือนหนึ่งมันรันต่อด้วยค่าใช้จ่ายวันหยุดก็มีเบี้ยเลี้ยงสำหรับทีมงาน ถ้าเงินมาช้าก็จะลำบาก เหมือนทำโน่นทำนี่ลำบาก ตรงนี้แหล่ะ ที่ลำบาก เหมือนยกกองไป
ต่างประเทศปกติแหล่ะ ต้องถ่ายรวดเดียวให้จบ เพราะไปๆมาๆค่ารถ ค่าโรงแรม ค่าอะไร ก็แพง เป็นกองถ่ายอยู่ที่ลาวเป็นเดือน รันงานตลอดจนจบเรื่องแล้วค่อยกลับมาไทย บางช่วงงบมาไม่ตามแพลน ทำให้การทำงานสะดุดไปบ้าง “ เว็บดูหนังฟรี
“ระหว่างทำก็กังวลตลอดจะมีงบมาต่อหรือเปล่า ด้วยความไม่แน่ไม่นอนของหนังอิสระแบบนี้ ความจริงก็เป็นอย่างนี้มาทั้ง 3 เรื่อง ถ่ายไป 30% แล้ว 60% แล้วจะมีเงินมาถ่ายต่อหรือเปล่า นายทุนจะให้เงินมาถ่ายต่อหรือเปล่า พอถ่ายเสร็จมันก็จะมีงบโพสต์อีก มีงบโปรโมทอีก แต่มันก็ผ่านของมันไปได้ขนถึงฉาย เป็นอย่างนี้ก็เคยให้สัมภาษณ์ไปว่าเริ่มเหนื่อย เหนื่อยใจด้วย อะไรด้วย เพราะว่าเราทำหนังที่ไม่ได้ทำเงินกลับมาคืนให้นายทุน
ได้เต็มที่ มันก็เลยรู้สึกว่าอาจจะพอแล้วก็ได้กับหนังเล็กๆแบบนี้ อาจจะทำหนังแบบอื่น วิธีอื่น หรือรอระบบที่มันจะเปลี่ยนแปลงในวงการหรืออะไรไป รอใครเป็นผู้นำเป็นหัวหอกในการสร้างโมเดลที่น่าทำตาม วิธีการที่ทำกับ 3 เรื่องสำหรับเราเองมันเหนี่อยมาก
หาทุนเอง เป็นโปรดิวเซอร์เอง วางระบบ จ่ายเงิน ทั้งบริษัทมีอยู่คนเดียวตามงาน ในบริษัทใหญ่ใช้คนเป็นสิบ แต่เราไม่มีเงินจ้าง ต้องทำเองก็เลยเหนื่อย ก็อาจจะพักไปก่อนสำหรับเรื่องนี้ เป็นบทส่งท้ายหนังจากเมืองลาวก็ได้” รีวิวหนัง