What's happening?

Video Sources 360 Views Report Error

  • Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม
Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

USAnull Min.PG-13
Your rating: 0
8 1 vote

Synopsis

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

 

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

 

ดูหนัง Hello ปีเตอร์…..สวัสดีทุกโคนนน วันนี้เราก็อยู่กับหนังมาเวลกันอีกแล้ว ถาพูดถึงไอ้แมงมุม คงไม่มีใครคิดถึง ไอร่อนแมนแน่นอน ก็ต้องนึกถึง ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ สิ จริงมั้ย ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง วันที่เราได้มีความสุขที่สุดในการชมหนัง จะเป็นยังไงไปอ่านรีวิว จาก แอดบี กัน เลย

เรื่องย่อ เป็นครั้งแรกที่ ‘Spider-Man’ ไม่ต้องซ่อนตัวใต้หน้ากากอีกต่อไป และเขาไม่สามารถแยกชีวิตในฐานะซูเปอร์ฮีโรออกจากชีวิตปกติได้อีกต่อไป เมื่อเขาไปขอให้ด็อกเตอร์สเตรนจ์ช่วยเหลือ แต่มันกลับกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิม บังคับให้เขาต้องหาทางแก้ไขและหาความหมายของการเป็นสไปเดอร์แมน หนังเรื่องนี้จะแนะนำสิ่งที่เรียกว่า Multiverse ในจักรวาลมาร์เวลอย่างเป็นทางการ พร้อม ๆ กับวายร้ายจากทั้ง ‘Spider-Man’ และ ‘The Amazing Spider-Man’ ก็จะมาปรากฎตัวด้วยเช่นกัน
Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม
ดูเหมือนว่าชะตากรรมของเพื่อนบ้านผู้แสนดีอย่าง ‘สไปเดอร์-แมน’ จะเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ขึ้นทุกที ๆ ครับ หลังจากที่รับงานฮีโรระดับเบอร์รองมาแล้วใน 2 ภาคก่อน ภาคนี้ในฐานะที่เป็นหนังในช่วงต้นของ MCU ในเฟส 4 ที่กำลังเดินหน้าปูพื้นเรื่องราวแบบ
‘พหุจักรวาล’ หรือ ‘มัลติเวิร์ส’ (Multiverse) เพื่อขยายขอบเขตวิธีการเล่าเรื่องให้กว้างกว่าแนวแอ็กชันแบบเดิม ซึ่งตอนนี้มีซีรีส์ใน Disney+ ที่ปูพื้นเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วทั้ง ‘Loki’ และแอนิเมชัน ‘What If…? ‘ ซึ่งซีรีส์ทั้งสองเรื่องนี้เป็นตัวสรุปอย่างชัดเจนว่า
มัลติเวิร์สคือแกนหลักสำคัญและความโกลาหลครั้งใหญ่ที่เหล่าฮีโรต้องรับมือให้ได้ ซึ่งในหนังเรื่องนี้ก็ดูเหมือนว่าความโกลาหลนั้นได้ปรากฏชัดขึ้นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว และไอ้แมงมุมก็ถือว่าเป็นฮีโรตัวแรก ๆ ที่ต้องรับผลแห่งความโกลาหลนี้แบบชัด ๆ เว็บหนัง

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

 

Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม

 

ส่วนเรื่องราวในภาคนี้ก็จะเล่าต่อจาก End Credits ตัวแรกที่ทิ้งเอาไว้ในภาคก่อนหน้า (Spider-Man : Far From Home (2019)) ซึ่งถ้าใครที่ยังไม่ได้ดู ก็ต้องขอเบรกให้ไปหาดูก่อนให้เรียบร้อยก่อนนะครับ (ทั้งสองภาคมีให้ดูใน HBO GO) เพราะว่าเนื้อเรื่องของภาคนี้จะเริ่มต้นมาจาก End Credits ตัวนั้นแหละ หลังจากที่สไปเดอร์แมนสามารถโค่น ‘มิสเทริโอ’ (Jake Gyllenhaal) ได้สำเร็จ
มิสเทริโอก็วางระเบิดตูมสุดท้ายด้วยการปล่อยคลิปเฟกนิวส์ผ่านจอ LED ที่กล่าวหาว่าปีเตอร์เป็นคนสังหารเขาอย่างป่าเถื่อน กล่าวหาว่าปีเตอร์โอ่อ้างจะเป็นไอรอนแมนคนถัดไป ข่าวนี้ยังไปถึงหู ‘เจ. โจนาห์ เจมส์สัน’ (J.K. Simmons) นักข่าวสำนักข่าวออนไลน์ TheDailyBugle.net ออกมาแฉ (จากข้อมูลของมิสเทริโอ) จนทำให้คนทั้งโลกรู้กันไปทั่วว่าสไปเดอร์แมนคือปีเตอร์ ปาร์คเกอร์
และในภาคนี้ แน่นอนว่า ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ เพื่อนบ้านที่แสนดี ถูกภัยเฟกนิวส์ตราหน้าจนทำให้ใช้ชีวิตยากลำบากกว่าเดิม แถมพาให้คนรอบข้างทั้งคนรักอย่าง ‘เอ็มเจ’ (Zendaya) เพื่อนซี้สาย Geek อย่าง ‘เน็ด ลีดส์’ (Jacob Batalon) และ ‘ป้าเมย์’
(Marisa Tomei) ต่างพากันเดือดร้อนกันไปด้วย ปีเตอร์เลยจำต้องไปขอความช่วยเหลือกับหมอแปลก ‘ดอกเตอร์สเตรนจ์’ (Benedict Cumberbatch) เพื่อให้ช่วยร่ายมนต์ลบความทรงจำของผู้คนว่าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์คือสไปเดอร์-แมน แต่ด้วยความผิดพลาดบางอย่าง ผลก็คือทำให้วายร้ายจากมัลติเวิร์สหลุดเข้ามาปั่นป่วนโลกของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับจักรวาล
ในแง่ของการดำเนินเรื่อง ในภาคนี้ก็ยังคงมีรสชาติ กลิ่นอาย และธีมของหนังจากภาคก่อน ๆ อยู่นะครับ โดยเฉพาะองก์แรก ซึ่งผู้กำกับอย่าง ‘จอน วัตต์ส’ (Jon Watts) ที่รับเหมากำกับแฟรนไชส์หนังชุดนี้มาจนกลายเป็นไตรภาคแล้ว ก็ยังคงคุมสีสันความเป็นหนังวัยรุ่นที่แฝงเรื่องราวแบบฉบับของวัยว้าวุ่น
สิบห้าหยก ๆ สิบหกหย่อน ๆ มุกฮา ๆ วีรกรรมห่าม ๆ และหนังสไตล์ Coming Of Age ซึ่งพอมาถึงภาคนี้ ต้องชื่นชมวิธีการเล่าเรื่องเป็นอย่างแรกเลยครับ เพราะว่าตัวหนังสามารถไต่ระดับการเล่าจากเล็กไปหาใหญ่ และใหญ่ระดับจักรวาลได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนมาก นั่นอาจจะทำให้การเดินเรื่องในองก์แรกช้าอยู่บ้าง โดยมีฉากแอ็กชันคอยกระตุ้นกราฟอยู่เนือง ๆ แต่ตัวบทก็ถือว่าทำได้ฉลาดและไหลลื่นไม่สะดุดตรงไหนให้กวนใจเลย
รวมทั้งการที่ตัวบทเริ่มจะกระชับพื้นที่โดยไม่ไปเล่าถึงตัวละครและภารกิจอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเป็นฮีโรของปีเตอร์มากนักเหมือนอย่างในภาคที่แล้ว ทำให้ตัวหนังจะเริ่มโฟกัสเฉพาะภารกิจของปีเตอร์ เอ็มเจ เน็ด หมอแปลก เหล่าวายร้ายทั้ง 5 และป้าเมย์เท่านั้น อีกจุดที่ถือว่าฉลาดคือ ต่อให้ตัวหนังในครึ่งหลังจะเริ่มบิดไปเป็นหนังแอ็กชันแบบเต็มสูบ แต่หนังก็ยังรักษาแกนการเล่าเรื่องแบบ Coming Of Age ที่แข็งแกร่งเอาไว้ได้อยู่ นั่นก็คือเรื่องของการพยายามจะลบความทรงจำของผู้คนนั่นเอง เพราะนอกจากปีเตอร์จะต้องรับผลพวงจากความผิดพลาดจากการร่ายมนต์แล้ว เขายังต้องรับผลพวงใหญ่ในการบังอาจไปแทรกแซงมัลติเวิร์ส และตอนท้ายก็ลากเส้นมาขมวดจบที่ปีเตอร์เองก็ต้องยอมรับผลกระทบที่เกิดจากการพยายามลบความทรงจำนั้นด้วย เว็บดูหนัง
Coming Of Age ในคราวนี้จึงไม่ใช่แค่การต่อสู้กับวายร้ายเท่านั้น แต่ยังต้องยอมรับทางเลือกที่เขาเองได้เลือกไว้ด้วย ซึ่งตรงนี้ต้องขอชื่นชมว่าสามารถคงแก่นแกนนี้เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน ปูเรื่องและตามมาเก็บกลับได้อย่างสะเทือนใจเรียกน้ำตามาก ๆ แถมยังเป็นการทิ้งท้ายได้อย่างน่าสนใจและน่าคิดต่อไปด้วยว่า จากนี้ ชีวิตของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ที่เลือกเส้นทางนี้และยอมรับผลของมันแต่โดยดี จะยังคงดำเนินชีวิตในฐานะปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ และในฐานะสไปเดอร์-แมนต่อไปได้อย่างไร ภายใต้บทสรุปชีวิตโคตรจะสะเทือนใจขนาดนั้น

การดำเนินเรื่อง และ บทสรุป

 

 

 

ในแง่ของการดำเนินเรื่อง เอาจริง ๆ แม้ตัวหนังจะปูว่ากำลังเดินหน้าเข้าสู่มัลติเวิร์ส แต่ตัวหนังเองก็ยังไม่ได้ถึงกับลงลึกอะไรขนาดนั้นนะครับ (เข้าใจว่าคงจะเอาไว้ลงลึกใน ‘Doctor Strange in the Multiverse of Madness’ ที่จะฉายปีหน้านั่นแหละ) แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ความเป็นมัลติเวิร์สที่ใส่เข้ามา มันช่างเหมาะเจาะกับจังหวะการ Coming Of Age ของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เสียจริง ๆ เพราะว่าในสองภาคก่อน เราจะได้เห็นน้องปีเตอร์เลียบ ๆ เคียง ๆ ป๋าโทนี สตาร์ก ในการรับภารกิจปราบฮีโรเบอร์รอง
แต่ในคราวนี้ การเปิดมัลติเวิร์ส ทำให้ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ต้องเผชิญกับตัวร้ายระดับบิ๊กในพหุจักรวาลอื่น แถมเอาเข้าจริง แม้จะมีหมอแปลกมาช่วยในภาคนี้ แต่ด้วย ‘เหตุผลบางอย่าง’ ก็ทำให้หมอแปลกไม่ได้ถึงกับช่วยได้ในระดับที่ป๋าโทนี่ช่วยแบบในภาคก่อน ๆ (ตรงกันข้าม เน็ดกับเอ็มเจยังช่วยมากกว่าซะอีก (555) ผลก็คือ ตัวปีเตอร์เองก็จะเติบโตขึ้นกลายมาเป็นฮีโรตัวจริง และต้องรับบท “ผู้นำการต่อสู้” รับมือกับเหตุการณ์ระดับมัลติเวิร์สด้วยตัวเอง และก็ถือว่าเป็นการปูทางสู่มัลติเวิร์สใน MCU เฟส 4 ได้ดีและเห็นภาพได้ชัดยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วย
และสำหรับใครที่เป็นพ่อยกแม่ยกน้องทอม ฮอลแลนด์ ก็ต้องขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่งนะครับ เพราะว่าในภาคนี้ น้องทอมโตแล้ว การแสดงของทอม ฮอลแลนด์ในภาคนี้ถือว่ากินขาดและเป็น MVP ของหนังจริง ๆ ฝีมือการแสดงและการแสดงอารมณ์สะเทือนใจในเรื่องนี้ของเขาเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นเลยว่า น้องทอมโตขึ้นจนสามารถเห็นริ้วรอยความสับสนในชีวิตช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ จากวัยรุ่นมัธยมสู่วัยมหาวิทยาลัย และโตขึ้นท่ามกลางความรับผิดชอบของสไปเดอร์-แมนที่ใหญ่ขึ้น (และจะใหญ่ยิ่งขึ้นกว่านี้แน่นอน) ของปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ได้อย่างแท้จริง จนผู้เขียนแอบเชื่อไปแล้วว่า หลังจบไตรภาคนี้ ทอม ฮอลแลนด์ จะมีภาพการเป็นสไปเดอร์-แมนแบบติดหนึบแยกไม่ออก (แบบเดียวกับที่ป๋าโรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ชอบโดนเรียกว่าไอรอนแมนนั่นแหละครับ)
นอกจากน้องทอม และทีมนักแสดงรอบข้าง ผู้เขียนเองก็ต้องชื่นชมเหล่าน้า ๆ 5 วายร้าย ที่กลับมารับบทตัวร้ายที่ทะลุจักรวาลมานะครับ แม้ว่าเวอร์ชันดั้งเดิมของพวกเขาจะห่างจากหนังเรื่องนี้ไปนับสิบ ๆ ปี แต่พวกเขาก็สามารถกลับมาสวมตัวร้ายที่ตัวเองเคยรับบทบาทเอาได้อย่างไม่ทิ้งลายจริง ๆ และที่สำคัญคือ การวางบทบาทให้ตัวละครทั้งห้า ในพล็อตที่มีตัวละครยุ่บยั่บวุ่นวายไปหมด แต่ตัวละครทั้งหมดถูกจัดสรรปันส่วนได้ออกมาดีมาก ๆ และแปลกมากที่ไม่ได้ไปแย่งซีนสไปดีน้องทอมเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าให้เลือกว่าคนไหนท็อปสุด ผู้เขียนขอยกให้คุณน้า ‘Willem Dafoe’ เจ้าของบท ‘กรีน ก็อบลิน’ ครับ แม้ว่าจะชราไปตามวัยบ้าง แต่ก็ยังสามารถรับบทวายร้ายจิตหลุดได้น่ากลัวมาก ๆ เหมือนที่เคยดูใน ‘Spider-man’ (2002) อย่างไรอย่างนั้นเเลย เว็บดูหนัง
และที่เรียกได้ว่าเป็นไฮไลต์ของหนังเรื่องนี้ก็คือมุกฮา ๆ ครับ ในภาคนี้ต้องเรียกได้ว่าใส่มุกฮาและตลกร้ายจังหวะนรกมาได้อย่างร้ายกาจมาก และโดยเฉพาะมุกมาจากมัลติเวิร์ส ซึ่งก็จะมีการสอดแทรกบทที่เกี่ยวพันกับหนังไอ้แมงมุมคลาสสิกทั้งสองเวอร์ชัน เรียกว่าเป็นมุกที่เรียกเสียงฮาเอาใจแฟนบอยโดยเฉพาะเลย ทั้งมุกคำพูดที่อ้างเอ่ยถึง รวมถึงการแอบใส่ซีนที่ใช้แรงบันดาลใจจากหนังเวอร์ชันคลาสสิก (ที่แฟนบอยดูแล้วเก็ตแน่นอน) รวมทั้งเซอร์ไพรส์อื่นอีกต่าง ๆ นานาที่เรียกได้ว่าเยอะมากในระดับที่จะทำให้แฟน ๆ สไปดีดูแล้วกรี๊ดแตกได้อย่างแน่นอน
จริง ๆ ถ้าจะมีข้อสังเกตอยู่บ้าง ก็ถือว่าเป็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ นะครับ อย่างแรกคือ ตัวบทสามารถไล่พล็อตจากเล็กไปหาใหญ่ได้ดีมาก ๆ เพราะฉะนั้นมันก็แอบจะเลี่ยงไม่ได้อยู่เหมือนกันที่จะทำให้การดำเนินเรื่องในองก์แรกนั้นค่อนข้างค่อยเป็นค่อยไปอยู่สักหน่อย แม้ว่าจะมีฉากแอ็กชันคอยกระตุกกราฟอยู่บ้าง แต่ตัวเรื่องในองก์แรกก็ถือว่าค่อนข้างช้าเลยแหละ ซึ่งมันก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ภาคนี้ยาวที่สุดถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง สองคือ ตัวฉากแอ็กชันครับ จริง ๆ โดยรวมก็ถือว่าเป็นฉากแอ็กชันที่ทำได้ดีงามตามมาตรฐานของ จอน วัตต์ส ที่ทำไว้กับทั้งสองภาคนะครับ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่ถึงกับว้าวซ่าอะไรขนาดนั้น ส่วนตัวผู้เขียนแอบชอบการเผชิญหน้าระหว่างสไปดีกับหมอแปลกมากกว่าแฮะ
ดูหนังออนไลน์ใหม่ได้ที่  เว็บดูหนังฟรี
Original title Spider Man No Way Home (2021) สไปเดอร์แมน โน เวย์ โฮม
IMDb Rating 8.2 116 votes
TMDb Rating 484 164 votes

Director

Director

Cast

Similar titles

Justice League x RWBY: Super Heroes & Huntsmen, Part Two (2023) บรรยายไทย
Mulan (2020) มู่หลาน
Eraser Reborn (2022)
Awake (2021) ดับฝันวันสิ้นโลก
Blade of the Immortal ฤทธิ์ดาบไร้ปราณี
Young & Dangerous (1996) กู๋หว่าไจ๋ มังกรฟัดโลก
Memory (2022)
The Union เดอะ ยูเนี่ยน (2024) NETFLIX
Fast and Furious 6 ( เร็วแรงทะลุนรก 6 )
Predestination ยึดเวลาล่าอนาคต
71-Into The Fire (2010) สมรภูมิไฟล้างแผ่นดิน
6 Days 2017

Leave a comment

Name *
Add a display name
Email *
Your email address will not be published

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.